วิธีการทำ Fat Grafting หรือ Lipofilling ฉีดไขมัน มีกระบวนการหลักการอยู่ 4 ขั้นตอน
1.Harvesting การดูดไขมันออกมา บริเวณที่ดูไขมันมากที่สุด บริเวณหน้าท้อง ต้นขา แต่จริงๆแล้วเราดูดได้ทุกที่ ที่คนไข้ต้องการนำไขมันออก โดยรวมการฉีดไขมันจะเริ่มจากการดูดไขมันก่อน วิธีการดูดไขมันเพิ่มมาฉีดเติมเต็ม จะต่างจากการดูดไขมันทั่วไป การดูดไขมันทั่วไปเป็นการดูดไขมันสะสมที่เป็นส่วนเกินเอาออกเยอะๆ พอเราดูดเสร็จก็ทิ้งเลย เรียกว่า Liposuction ที่เราทำโดยทั่วไป เพราะฉะนั้นการดูดไขมันแบบ Liposuction เป็นการดูดไขมันในปริมาณมากๆ เช่นการใช้เครื่องมือความร้อน , Vaser ทำให้ไขมันสหายตัวออกมา และแยกชั้นออกมา แต่ว่าถ้าเราต้องการเอาไขมันมาฉีดเต็มเติมใบหน้าหรือบริเวณอื่นเราใช้หลักการนั้นไม่ได้ เพราะว่าการที่เราทำให้ไขมันสลายไม่ว่าจะเป็นการใช้เครื่องมือความร้อน , Vaser ต่างๆ ทำให้ไขมันสลายและตาย เพราะฉะนั้นไขมันที่เกิดจากการดูดไม่ถูกวิธีนำมาใช้เติมเต็มใบหน้าไม่ได้ เพราะว่า Fat Cell จะสลายเยอะ ดังนั้นหลักการที่ถูกต้องถ้าเกิดว่าเราต้องการดูดไขมันที่ต้นขา แล้วนำมาฉีดไขมันที่ใบหน้า ขั้นแรกคือการดูดสำคัญมาก ต้องใช้แรงดูดและหัวดูดที่เหมาะสม หากใช้แรกเยอะเกินไปจะทำให้ไขมันตาย หรือว่าถ้าใช้แรงน้อยเกิดไปไขมันก็จะไม่ออกมา ในส่วนหัวดูดต้องมีขนาดที่พอดี ไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไป โดยเทคนิคการดูดจะไม่ใช้เครื่องมืออื่นช่วย จะใช้แรงของหมอโดยตรง แพทย์ที่เชี่ยวชาญจะรู้ว่าควรใช้แรงดูดเท่าไหร่ถึงจะพอดี เพราะฉะนั้นหลักการข้อแรกคือต้องใช้เทคนิคที่ถูกต้อง นั้นคือใช้เครื่องแรงดูดที่ดีเพื่อให้ fat sell ไม่ตาย หัวดูดต้องเป็นหัวที่เฉพาะที่ใช้ดูดไขมันและเต็มเติม
2.Purification แยกชั้นไขมัน หลังจากการดูดไขมันที่ถูกวิธีเสร็จเมื่อวางหลอดไขมันไว้ให้ตกตะกอน จะแบ่งออกเป็น 4 ชั้น ชั้นล่างสุดจะเป็นเลือดเม็ดเลือดแดง (เราไม่ใช้)
ถัดขึ้นมาเป็นชั้นไขมัน ถัดจากตัวไขมัน เป็นชั้นของ Stem Cell ถัดขึ้นมาชั้นบนสุดเป็นพวกน้ำ,น้ำมัน
ดังนั้นขั้นตอนที่สำคัญ การที่ทำให้ไขมันแยกส่วนที่ชัดเจน ว่าส่วนไหนที่เราสามารถเพื่อนำไปใช้ในการฉีดได้ โดยหลักการมีอยู่ 2 วิธีหลัก
1.Sedimentation คือทำให้ตกตะกอน โดยการตั้งทิ้งไว้เลย เลือดก็จะตกตะกอนลงมีอยู่ด้านล่าง ใบส่วนที่เบาก็จะรอย หลังจากนั้นตกตะกอนเสร็จ เราก็เอาข้างบนและข้างล่างออก เหลือแต่ตรงกลางที่เป็น Fat Cell ที่เป็น Stem Cell จริงๆ ส่วนนี้จะให้ในการฉีดไขมัน
2.การใช้เครื่องปั่น พอหลังจากเราดูดเสร็จแล้วย้ายมาใส่หลอดปั่นด้วยวงรอบที่พอดี หลังจากปั่นเสร็จจะคล้ายๆ การตกตะกอนจะมีการแยกชั้นของไขมัน
แต่ถ้าหากเราไม่ใช้เลยหลังดูดเสร็จเอามาฉีดเลยไม่ผ่านขั้นตอน Purification อันนี้ใช้ไม่ได้ จะสังเกตุได้ถ้าทำด้วยความรวดเร็วไม่ถูกหลักการ ดูดไขมัน100CCออกมา แล้วนำมาฉีดเติมเต็มเลยอันนี้จะทำให้ Fat Cell ตายจะทำให้เป็นก้อนแข็งๆ แล้วไม่มีความเป็นธรรมชาติ ดังนั้นต้องผ่าน Purification ก็เพื่อให้ไขมันแยกชั้นแล้วนำชั้นที่สำคัญที่สุด ที่มี Fat Cell และ Stem Cell มาก นำส่วนนั้นมาฉีด จะทำให้ผลลัพธ์ที่ออกมาดี
3.Transfer การนำไขมันใส่หลอดเพื่อเตรียมฉีด บางคนคิดว่าไม่สำคัญแต่จริงๆ แล้วสำคัญมากๆ เพราะว่าการ Transfer ต้องเลือกเข็มเลือกขนาดของหลอดฉีดยา ให้พอเหมาะกับ fat Cell ที่เราดูดมา ถ้าเกิด fat Cell ที่ดูดออกมามีขนาดใหญ่ ต้องเลือกหลอดและเข็มขนาดใหญ่ที่เหมาะสมกับ Fat Cell ยกตัวอย่างเช่น ถ้า fat Cell มีขนาดใหญ่แต่ใช้หัวเล็ก จะทำให้ Cell ถูกกดบีบทำให้ไม่มีเลือดมาเลี้ยงทำให้ตายบางส่วน ดังนั้นเข็มฉีดยาในการ Transfer ต้องได้ความพอเหมาะอัตราส่วนพอดีกับ fat Cell ที่เราดูดมา และต้องขึ้นกับบริเวณที่เราฉีด ยกตัวอย่างเช่นถ้าจะฉีดใต้ตาซึ่งใต้ตาเป็นบริเวณที่ผิวบางต้องการ Fat cell ที่มีขนาดเล็กก็ต้องใช้เข็มและหลอดที่มีขนาดเล็มตามลงไปด้วย
4.Fat Grafting หรือ Lipofilling การฉีด เทคนิคการฉีดที่ถูกต้องทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ไม่แข็งเป็นก้อน ทำให้ระยะเวลาความคงทนของ Fat Cell นานขึ้น เทคนิคที่นิยมมากที่สุด คือ Microdroplet Technique เป็นการฉีด Fat Cell ให้เป็นก้อนเล็กที่สุดและ เรียงตัวกัน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ออกมาดี ซึ่งหากฉีดเร็วจะทำให้ Fat Cell ตรงกลางไม่มีเลือดเลี้ยง จะทำให้ Fat Cell รอบตาย เรียกอีกอย่างว่า Fat necrosis (ไขมันตาย) ทำให้เกิดการแข็งตัวเป็นก้อนของไขมัน ซึ่งถ้าหากฉีดด้วยเทคนิค Microdroplet Technique จะทำให้ผิวเรียงตัว การสลายของ Fat Cell ก็จะน้อยลงโอกาสที่เป็นก้อนแข็งๆ ก็จะน้อยลงด้วย
เบอร์โทรศัพท์ : 0-2867-0606 ต่อ 1200 , 084-456-7777 , 063-770-0968 , 062-257-5499
Facebook : www.facebook.com/Bangmodaestheticcenter
LINE ID : @bangmod
Instagram : bangmodaesthetic
YouTube : http://www.youtube.com/user/bangmodhos