เสริมหน้าอกวิธีไหนปลอดภัย-เป็นธรรมชาติ มีเคล็ดลับ 10 เรื่องต้องรู้ ก่อนตัดสินใจ
การผ่าตัดเสริมหน้าอกแทบจะเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ปัจจุบันมีคลินิกและสถานพยาบาลที่ให้บริการด้านนี้อยู่จำนวนมาก เฉพาะที่ถูกกฎหมายก็นับไม่ถ้วน ยังไม่รวมคลินิกเถื่อนที่เปิดกันเกร่อ
คุณภาพและความปลอดภัยจึงเป็นเรื่องสำคัญ นพ.สุรสิทธิ์ อัศดามงคล แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่งและเสริมสร้างใบหน้า ประธานกรรมการบริหารโรงพยาบาลบางมด มีคำแนะนำและเคล็ดลับดีๆ “10 เรื่องต้องรู้!!! ก่อนเสริมหน้าอก” มาให้พิจารณาประกอบการตัดสินใจ
1. การเตรียมตัว ?
เหมือนการเตรียมตัวผ่าตัดทั่วไป เพราะเสริมหน้าอกเป็นการผ่าตัดใหญ่ ส่วนใหญ่ต้องดมยา ต้องอดข้าว-อดน้ำ อย่างน้อย 24 ชั่วโมง ต่ำสุดคือ 6 ชั่วโมง ส่วนมากจะให้อดหลังเที่ยงคืนก่อนวันผ่าตัด งดข้าว งดน้ำ และยาที่ทำให้เลือดออกง่ายหยุดยาก เช่น แอสไพริน สำหรับคนที่ขี้กลัวการผ่าตัดเสริมหน้าอกใช้การดมยาอยู่แล้ว
2. ผ่าตัดเสริมหน้าอก มีกี่แบบ ?
1.) เข้าทางรักแร้ ข้อดีจะมีแผลตามสร้อยของรักแร้ ไม่มีแผลตามร่างกาย แต่บางคนบอกว่าการทำงานต้องใช้มือ ซึ่งจะเจ็บประมาณ 1 อาทิตย์
2.) ผ่านปานนม สมัยก่อนทำที่จุดนี้ ข้อดีคือแผลผ่าตัดเข้าถึงเต้านมโดยตรง จึงเจ็บน้อยหน่อย แต่ข้อเสียคือ มีรอยแผลที่รอบปานนม
3.) ผ่านหัวนม ข้อดีคือ แผลผ่าตัดพุ่งเข้าเต้านมโดยตรง เวลาทำแผลนิดเดียว แต่ข้อเสียอาจเกิดอาการชาได้
4.) ใต้ราวนม ข้อเสียคือ จะมีแผลตลอดชีวิต ถ้าบางคนเป็นคีลอยด์ง่ายจะเห็น ส่วนมากวิธีนี้ทำในคนที่มาแก้หน้าอก หรือทำในคนที่เสริมหน้าอกแล้วมีปัญหาแข็ง
5.) ผ่านทางสะดือ ข้อดีคือมีแผลตรงขอบสะดือ แผลเล็ก แต่ข้อเสียคือทำได้เฉพาะคนที่เสริมหน้าอกด้วยน้ำเกลือ เพราะแผลเล็กต้องพับเข้าไป ใช้ซิลิโคนเข้าไม่ได้
วิธีที่นิยมทำกันคือการเสริมทางรักแร้ เพราะไม่เห็นรอยแผล เมื่อแผลหายก็อยู่ในสร้อยของรักแร้ และถ้าต้องการให้ดูเป็นธรรมชาติก็ต้องดูจากเบ้าของคนไข้ ถ้าเบ้าเล็กแต่เลือกขนาดซิลิโคนใหญ่ๆ ก็ไม่เป็นธรรมชาติ เหมือนห้องแคบๆ แล้วอัดไปเยอะๆ ดังนั้นต้องใส่ในปริมาณที่พอเหมาะ และขึ้นกับลักษณะของซิลิโคนที่ใช้ ถ้าใช้แบบหยดน้ำก็เป็นธรรมชาติ
3. ผ่าตัดเสริมหน้าอกสาวประเภทสอง ต่างจากผู้หญิงทั่วไปอย่างไร ?
สาวประเภทสองจะมีฮอร์โมนเพศชายเยอะ กล้ามเนื้อจะแข็งแรง อย่างที่เคยปรากฎว่าทำตามคลินิกแล้วทะลุปอด เพราะ เวลาคว้านต้องใช้แรงมาก ถ้าพลาดก็ลงไปที่ปอดได้ ต้องระวัง
นอกจากกล้ามเนื้อแข็งแรงแล้ว ส่วนใหญ่กลุ่มนี้ต้องการเสริมหน้าอกที่มีขนาดใหญ่กว่าผู้หญิงทั่วไป ต้องการไซซ์ใหญ่มากๆ หมอผ่าตัดจึงต้องใช้ความชำนาญ เพราะทำยากกว่าผู้หญิง แต่หลังทำการดูแลรักษาเนื้อรักษาตัวของกลุ่มนี้ดีกว่าผู้หญิง ดูแลตัวเองหลังเสริมหน้าอกดีมาก ไม่ค่อยมีปัญหา
4. อายุเท่าไหร่ถึงจะเสริมหน้าออกได้ ?
หลัง 17 ปีขึ้นไป หน้าอกโตเต็มที่แล้ว เหมือนการทำจมูก หรือตา ก็ต้องมีอายุ 17 ปี ขึ้นไป
5. ขนาดที่ชอบ กับ size ที่ใช่ แบบไหนดีกว่ากัน ?
การเสริมหน้าอกจะดูที่ขนาดเบ้า โดยวัดเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่หัวนมจนถึงปานนมด้านล่าง เป็นเส้นผ่าศูนย์กลางที่ควรจะใส่ จะให้คนไข้เลือกเอง แต่ค่าเฉลี่ยทั่วไปของหญิงไทยคือ 200-250 cc นั่นคือแบบธรรมดา แต่ถ้าต้องการใหญ่ขึ้นไปก็ 300-350-400 cc ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องดูขนาดตัวเต้าด้วย ถ้าคนไข้ตัวเล็ก ฐานเต้าเล็กแต่ต้องการใหญ่ก็เปลี่ยนเป็นทรงสูง ถ้าคนไข้มีฐานเต้ากว้างก็ต้องเอาทรงกว้าง จะได้ดูเป็นธรรมชาติ
ถ้าใหญ่เกินตัว นานไปทรงจะลอยขึ้นบน ไม่อยู่ตรงกลาง หัวนม-ปานนมจะชี้ลงหรือชี้ขึ้น ถ้าใหญ่มากกลายเป็นรูปทรงมะละกอจะลอยขึ้น และถ้าใหญ่มากเกินไปก็จะทำให้ปวดหลังได้
6. อาการหลังผ่าตัด เจ็บแบบรถทับจริงหรือ ?
ถ้าทำผ่านรักแร้ก็จะเจ็บที่รักแร้เล็กน้อย และเจ็บตรงตัวเต้าที่ขยาย แต่สมัยนี้ไม่ค่อยเจ็บเหมือนสมัยก่อน สมัยก่อนเจ็บเหมือนรถทับ แต่ปัจจุบันมีวิวัฒนาการ
7. ช่วงพักฟื้น กินเวลานานแค่ไหน ?
ส่วนใหญ่ 24 ชั่วโมง พอคนไข้สวยก็อยากจะกลับบ้าน ที่ให้พัก 24 ชั่วโมงเพราะหลังดมยาต้องพัก 24 ชั่วโมง เนื่องจากการใส่ท่อหายใจอาจทำให้ท่อหายใจบวม หลัง 24 ชั่วโมงถ้าไม่บวมก็ให้กลับบ้านได้
8. พังผืดจากการเสริมหน้าอกแก้ไขอย่างไร ?
พังผืดเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำจมูก หรือใส่ของแปลกปลอมเข้าในร่างกาย หรือแม้แต่แผลในร่างกาย เช่น แผลไส้ติ่ง
ตัวพังผืดเป็นตัวทำให้ซิลิโคนแข็ง ส่วนใหญ่แนะนำให้คนไข้นวดเพื่อทำให้พังผืดบาง เกาะห่างๆ เวลาจับจะได้เป็นธรรมชาติ
9. ซิลิโคนแตกเพราะอะไร ?
แตกได้ 2 อย่าง 1. คนไข้เกิดอุบัติเหตุ หรือโดนของคม การนวด ทับแรงๆ ไม่แตก ส่วนใหญ่โดนของคม 2.ก่อนใส่เปิดเบ้าแล้วอัดซิลิโคนเข้าไปเต็มที่ก็สามารถแตกได้โดยที่หมอไม่รู้ แต่หลังแตกจะรู้ได้เพราะคนไข้จะมีอาการปวดแสบปวดร้อน
10. ปฏิบัติตัวอย่างไรหลังเสริมหน้าอก ?
หลังผ่าตัด ค่าเฉลี่ยประมาณ 1 อาทิตย์ก็จะไม่รู้สึกเจ็บแล้ว เมื่อครบ 1 อาทิตย์ จะนัดมาสอนนวด ให้กลับไปนวดเอง 6 เดือนก็จะเข้าที่ การออกกำลังกาย ไปฟิตเนส วิ่ง จะยิ่งทำให้กล้ามเนื้อได้ทำงาน ก็จะเกิดพังผืดน้อย
เสริมหน้าอกด้วยเทคนิคบางมด
ต่างชาติที่มาใช้บริการของทางโรงพยาบาลเพราะไม่เจ็บ โอกาสจะแข็งก็น้อยกว่า ตามทฤษฎีคือ การเสริมเหนือกล้ามเนื้อ ข้อดีคือ ไม่เจ็บ เสียเลือดน้อย แต่ข้อเสียคือ มีโอกาสแข็ง 80 % มากกว่าใต้กล้ามเนื้อ ส่วนการเสริมใต้กล้ามเนื้อ ข้อดีคือโอกาสแข็ง 50% ข้อเสียคือเสียเลือดเยอะ เจ็บหลังผ่าตัด
เทคนิคบางมดได้นำสองอย่างมาผสมกัน เอาเฉพาะข้อดี คือข้อดีของการผ่าตัดเหนือกล้ามเนื้อคือไม่เจ็บ เสียเลือดน้อย ข้อดีของการผ่าตัดใต้กล้ามเนื้อ โอกาสแข็งน้อยกว่า ก็เอามาผสมกัน เรียกว่า Dual Plane
บทสัมภาษณ์ นพ.สุรสิทธิ์ อัศดามงคล แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่ง และเสริมสร้างใบหน้า รพ.บางมด ในรายการ "ข่าวสดบิวตี้"
“มั่นใจยิ่งกว่า ที่โรงพยาบาลบางมด”
ปรึกษาปัญหาความงามเพิ่มเติมได้ที่
เบอร์โทรศัพท์ : 0-2867-0606 ต่อ 1200 , 084-456-7777 , 063-770-0968 , 062-257-5499
http://bangmodaesthetic.com/home
Facebook : www.facebook.com/Bangmodaestheticcenter
LINE ID : @bangmod
Instagram : bangmodaesthetic
YouTube : http://www.youtube.com/user/bangmodhos
การผ่าตัดเสริมหน้าอกแทบจะเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ปัจจุบันมีคลินิกและสถานพยาบาลที่ให้บริการด้านนี้อยู่จำนวนมาก เฉพาะที่ถูกกฎหมายก็นับไม่ถ้วน ยังไม่รวมคลินิกเถื่อนที่เปิดกันเกร่อ
คุณภาพและความปลอดภัยจึงเป็นเรื่องสำคัญ นพ.สุรสิทธิ์ อัศดามงคล แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่งและเสริมสร้างใบหน้า ประธานกรรมการบริหารโรงพยาบาลบางมด มีคำแนะนำและเคล็ดลับดีๆ “10 เรื่องต้องรู้!!! ก่อนเสริมหน้าอก” มาให้พิจารณาประกอบการตัดสินใจ
1. การเตรียมตัว ?
เหมือนการเตรียมตัวผ่าตัดทั่วไป เพราะเสริมหน้าอกเป็นการผ่าตัดใหญ่ ส่วนใหญ่ต้องดมยา ต้องอดข้าว-อดน้ำ อย่างน้อย 24 ชั่วโมง ต่ำสุดคือ 6 ชั่วโมง ส่วนมากจะให้อดหลังเที่ยงคืนก่อนวันผ่าตัด งดข้าว งดน้ำ และยาที่ทำให้เลือดออกง่ายหยุดยาก เช่น แอสไพริน สำหรับคนที่ขี้กลัวการผ่าตัดเสริมหน้าอกใช้การดมยาอยู่แล้ว
2. ผ่าตัดเสริมหน้าอก มีกี่แบบ ?
1.) เข้าทางรักแร้ ข้อดีจะมีแผลตามสร้อยของรักแร้ ไม่มีแผลตามร่างกาย แต่บางคนบอกว่าการทำงานต้องใช้มือ ซึ่งจะเจ็บประมาณ 1 อาทิตย์
2.) ผ่านปานนม สมัยก่อนทำที่จุดนี้ ข้อดีคือแผลผ่าตัดเข้าถึงเต้านมโดยตรง จึงเจ็บน้อยหน่อย แต่ข้อเสียคือ มีรอยแผลที่รอบปานนม
3.) ผ่านหัวนม ข้อดีคือ แผลผ่าตัดพุ่งเข้าเต้านมโดยตรง เวลาทำแผลนิดเดียว แต่ข้อเสียอาจเกิดอาการชาได้
4.) ใต้ราวนม ข้อเสียคือ จะมีแผลตลอดชีวิต ถ้าบางคนเป็นคีลอยด์ง่ายจะเห็น ส่วนมากวิธีนี้ทำในคนที่มาแก้หน้าอก หรือทำในคนที่เสริมหน้าอกแล้วมีปัญหาแข็ง
5.) ผ่านทางสะดือ ข้อดีคือมีแผลตรงขอบสะดือ แผลเล็ก แต่ข้อเสียคือทำได้เฉพาะคนที่เสริมหน้าอกด้วยน้ำเกลือ เพราะแผลเล็กต้องพับเข้าไป ใช้ซิลิโคนเข้าไม่ได้
วิธีที่นิยมทำกันคือการเสริมทางรักแร้ เพราะไม่เห็นรอยแผล เมื่อแผลหายก็อยู่ในสร้อยของรักแร้ และถ้าต้องการให้ดูเป็นธรรมชาติก็ต้องดูจากเบ้าของคนไข้ ถ้าเบ้าเล็กแต่เลือกขนาดซิลิโคนใหญ่ๆ ก็ไม่เป็นธรรมชาติ เหมือนห้องแคบๆ แล้วอัดไปเยอะๆ ดังนั้นต้องใส่ในปริมาณที่พอเหมาะ และขึ้นกับลักษณะของซิลิโคนที่ใช้ ถ้าใช้แบบหยดน้ำก็เป็นธรรมชาติ
3. ผ่าตัดเสริมหน้าอกสาวประเภทสอง ต่างจากผู้หญิงทั่วไปอย่างไร ?
สาวประเภทสองจะมีฮอร์โมนเพศชายเยอะ กล้ามเนื้อจะแข็งแรง อย่างที่เคยปรากฎว่าทำตามคลินิกแล้วทะลุปอด เพราะ เวลาคว้านต้องใช้แรงมาก ถ้าพลาดก็ลงไปที่ปอดได้ ต้องระวัง
นอกจากกล้ามเนื้อแข็งแรงแล้ว ส่วนใหญ่กลุ่มนี้ต้องการเสริมหน้าอกที่มีขนาดใหญ่กว่าผู้หญิงทั่วไป ต้องการไซซ์ใหญ่มากๆ หมอผ่าตัดจึงต้องใช้ความชำนาญ เพราะทำยากกว่าผู้หญิง แต่หลังทำการดูแลรักษาเนื้อรักษาตัวของกลุ่มนี้ดีกว่าผู้หญิง ดูแลตัวเองหลังเสริมหน้าอกดีมาก ไม่ค่อยมีปัญหา
4. อายุเท่าไหร่ถึงจะเสริมหน้าออกได้ ?
หลัง 17 ปีขึ้นไป หน้าอกโตเต็มที่แล้ว เหมือนการทำจมูก หรือตา ก็ต้องมีอายุ 17 ปี ขึ้นไป
5. ขนาดที่ชอบ กับ size ที่ใช่ แบบไหนดีกว่ากัน ?
การเสริมหน้าอกจะดูที่ขนาดเบ้า โดยวัดเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่หัวนมจนถึงปานนมด้านล่าง เป็นเส้นผ่าศูนย์กลางที่ควรจะใส่ จะให้คนไข้เลือกเอง แต่ค่าเฉลี่ยทั่วไปของหญิงไทยคือ 200-250 cc นั่นคือแบบธรรมดา แต่ถ้าต้องการใหญ่ขึ้นไปก็ 300-350-400 cc ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องดูขนาดตัวเต้าด้วย ถ้าคนไข้ตัวเล็ก ฐานเต้าเล็กแต่ต้องการใหญ่ก็เปลี่ยนเป็นทรงสูง ถ้าคนไข้มีฐานเต้ากว้างก็ต้องเอาทรงกว้าง จะได้ดูเป็นธรรมชาติ
ถ้าใหญ่เกินตัว นานไปทรงจะลอยขึ้นบน ไม่อยู่ตรงกลาง หัวนม-ปานนมจะชี้ลงหรือชี้ขึ้น ถ้าใหญ่มากกลายเป็นรูปทรงมะละกอจะลอยขึ้น และถ้าใหญ่มากเกินไปก็จะทำให้ปวดหลังได้
6. อาการหลังผ่าตัด เจ็บแบบรถทับจริงหรือ ?
ถ้าทำผ่านรักแร้ก็จะเจ็บที่รักแร้เล็กน้อย และเจ็บตรงตัวเต้าที่ขยาย แต่สมัยนี้ไม่ค่อยเจ็บเหมือนสมัยก่อน สมัยก่อนเจ็บเหมือนรถทับ แต่ปัจจุบันมีวิวัฒนาการ
7. ช่วงพักฟื้น กินเวลานานแค่ไหน ?
ส่วนใหญ่ 24 ชั่วโมง พอคนไข้สวยก็อยากจะกลับบ้าน ที่ให้พัก 24 ชั่วโมงเพราะหลังดมยาต้องพัก 24 ชั่วโมง เนื่องจากการใส่ท่อหายใจอาจทำให้ท่อหายใจบวม หลัง 24 ชั่วโมงถ้าไม่บวมก็ให้กลับบ้านได้
8. พังผืดจากการเสริมหน้าอกแก้ไขอย่างไร ?
พังผืดเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำจมูก หรือใส่ของแปลกปลอมเข้าในร่างกาย หรือแม้แต่แผลในร่างกาย เช่น แผลไส้ติ่ง
ตัวพังผืดเป็นตัวทำให้ซิลิโคนแข็ง ส่วนใหญ่แนะนำให้คนไข้นวดเพื่อทำให้พังผืดบาง เกาะห่างๆ เวลาจับจะได้เป็นธรรมชาติ
9. ซิลิโคนแตกเพราะอะไร ?
แตกได้ 2 อย่าง 1. คนไข้เกิดอุบัติเหตุ หรือโดนของคม การนวด ทับแรงๆ ไม่แตก ส่วนใหญ่โดนของคม 2.ก่อนใส่เปิดเบ้าแล้วอัดซิลิโคนเข้าไปเต็มที่ก็สามารถแตกได้โดยที่หมอไม่รู้ แต่หลังแตกจะรู้ได้เพราะคนไข้จะมีอาการปวดแสบปวดร้อน
10. ปฏิบัติตัวอย่างไรหลังเสริมหน้าอก ?
หลังผ่าตัด ค่าเฉลี่ยประมาณ 1 อาทิตย์ก็จะไม่รู้สึกเจ็บแล้ว เมื่อครบ 1 อาทิตย์ จะนัดมาสอนนวด ให้กลับไปนวดเอง 6 เดือนก็จะเข้าที่ การออกกำลังกาย ไปฟิตเนส วิ่ง จะยิ่งทำให้กล้ามเนื้อได้ทำงาน ก็จะเกิดพังผืดน้อย
เสริมหน้าอกด้วยเทคนิคบางมด
ต่างชาติที่มาใช้บริการของทางโรงพยาบาลเพราะไม่เจ็บ โอกาสจะแข็งก็น้อยกว่า ตามทฤษฎีคือ การเสริมเหนือกล้ามเนื้อ ข้อดีคือ ไม่เจ็บ เสียเลือดน้อย แต่ข้อเสียคือ มีโอกาสแข็ง 80 % มากกว่าใต้กล้ามเนื้อ ส่วนการเสริมใต้กล้ามเนื้อ ข้อดีคือโอกาสแข็ง 50% ข้อเสียคือเสียเลือดเยอะ เจ็บหลังผ่าตัด
เทคนิคบางมดได้นำสองอย่างมาผสมกัน เอาเฉพาะข้อดี คือข้อดีของการผ่าตัดเหนือกล้ามเนื้อคือไม่เจ็บ เสียเลือดน้อย ข้อดีของการผ่าตัดใต้กล้ามเนื้อ โอกาสแข็งน้อยกว่า ก็เอามาผสมกัน เรียกว่า Dual Plane
บทสัมภาษณ์ นพ.สุรสิทธิ์ อัศดามงคล แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่ง และเสริมสร้างใบหน้า รพ.บางมด ในรายการ "ข่าวสดบิวตี้"
“มั่นใจยิ่งกว่า ที่โรงพยาบาลบางมด”
ปรึกษาปัญหาความงามเพิ่มเติมได้ที่
เบอร์โทรศัพท์ : 0-2867-0606 ต่อ 1200 , 084-456-7777 , 063-770-0968 , 062-257-5499
http://bangmodaesthetic.com/home
Facebook : www.facebook.com/Bangmodaestheticcenter
LINE ID : @bangmod
Instagram : bangmodaesthetic
YouTube : http://www.youtube.com/user/bangmodhos