Detox พิษโลหะหนัก ด้วยการทำคีเลชั่น
"น้ำที่ดื่ม อากาศที่หายใจ ไม่ได้บริสุทธิ์เสมอไป” จากสารเคมี มลภาวะ โลหะหนักชนิดต่าง ๆ ที่ปนเปื้อนมากับอาหาร น้ำดื่ม เครื่องใช้อุปโภคบริโภค ที่มีโอกาสหลุดเข้าร่างกายผ่านทางการกิน ดื่ม หายใจ สัมผัส ในแต่ละวันและที่น่าแปลกใจอย่างยิ่งก็คือ สารบางชนิด ร่างกายไม่สามารถกำจัดออกโดยวิธีการทางธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มของ “โลหะหนัก” จึงทำให้ ปริมาณสารต่าง ๆ ที่ตกค้างในร่างกาย นับวันจะยิ่งสะสมในร่างกายสูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเมื่อร่างกายได้รับสารเหล่านี้สะสมเป็นเวลานาน จะมีผลทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง เกิดความเสื่อมหรือชำรุดในระดับเซลล์ และเมื่อเกิดความเสียหายหลายเซลล์จนกลายเป็นระดับเนื้อเยื่อ เมื่อถึงเวลานั้นก็จะมีผลทำให้เกิดอาการหรือโรคต่าง ๆ ตามมาได้ ซึ่งมีตัวอย่างอาการต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
- ปวดศีรษะไม่ทราบสาเหตุ
- อ่อนเพลียง่วงนอนตลอดเวลา
- สมาธิสั้นลง ความจำไม่ดี
- อารมณ์หงุดหงิดง่ายแปรปรวน
- ปวดเมื่อยตามร่างกายเรื้อรัง ปวดตามข้อและกระดูกรูมาตอยด์
- ท้องผูกหรือท้องเสียเรื้องรัง
- มีกลิ่นปากกลิ่นตัว
- เป็นผื่นหรือสิวเรื้องรัง รักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย มีอาการโดยไม่ทราบสาเหตุ
- ระบบเผาผลาญลดลง น้ำหนักขึ้นง่ายกว่าปกติ
- นอนไม่หลับ
อย่างไรก็ตาม หากท่านมีอาการดังกล่าว ไม่ว่าจะมีกี่ข้อก็ตาม ให้สงสัยไว้ก่อนว่า อาจจะมีสารพิษโลหะหนักสะสมอยู่ในร่างกาย ยกตัวอย่างพิษโลหะหนักที่พบได้บ่อยเป้นจำนวนมากได้แก่ ปรอท ตะกั่ว แคดเมียม สารหนู อะลูมิเนียม ฯลฯ
โดยในการตรวจหาปริมาณโลหะหนักที่สะสมในร่างกาย จะเหมาะกับผู้ที่มีภาวะเสี่ยงที่จะได้รับสารพิษโลหะหนักมากกว่าคนปกติ อันเนื่องมาจากสิ่งแวดล้อม ทำงานโรงงาน อยู่ใกล้แหล่งผลิตแร่, เหมือง หรือมีภาวะเสี่ยงที่อาจเป็นโรคต่าง ๆ ที่เกิดจากพิษของโลหะหนักได้ เช่น โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ ความดันโลหิตสูง กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เบาหวาน นอกจากนี้ คนทั่วไปก็สามารถที่จะตรวจหาได้ตั้งแต่เนิ่นแม้จะยังไม่มีอาการดังที่กล่าวไว้ข้างต้น
“คีเลชั่น” ทางเลือกใหม่ของการกำจัดสารพิษ ด้วยข้อจำกัดบางอย่างภายในร่างกายทำให้กลไกการกำจัดพิษโลหะหนักจึงไม่สามารถขับออกทางวิธีธรรมชาติได้ตามปกติ นักวิทยาศาสตร์จึงได้คิดค้นวิจัยการรักษาต่าง ๆ นานาประการ จนกระทั่งพบทางออกล่าสุดที่สามารถนำเอาสารพิษโลหะหนักเหล่านี้ออกจากร่างกายได้โดยง่ายและปลอดภัย เมื่อเราได้ทำการตรวจหาปริมาณโลหะหนักที่ตกค้างในร่างกายแล้ว การรักษาด้วยวิธี “คีเลชั่น” จะเข้ามามีบทบาทในการดูแลสุขภาพ
“คีเลชั่น” คืออะไร มีวิธีการรักษาอย่างไร ?
คือ การนำสารบางชนิดที่มีคุณสมบัติในการจับกับโลหะหนักที่ตกค้างตามเนื้อเยื่อของร่างกายหรือในหลอดเลือด ในที่นี้คือรูปแบบ EDTA โดยผ่านการนำเข้าสู่ร่างกายมีหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นผ่านทางหลอดเลือดดำ, การดูดซึมผ่านทางเดินอาหาร หรือทางการเหน็บทวารหนัก โดยโมเลกุลสารนี้สามารถจับกับโลหะหนักและขับออกทางกระแสเลือด และสารนี้จะถูกขับออกในรูปของปัสสาวะพร้อมกับโลหะหนักที่จับได้ภายในวันต่อ ๆ มา
ประโยชน์ของการทำ “คีเลชั่น”
- รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า
- อาการปวดเรื้อรังลดลง
- ผื่นผิวหนังที่เคยเป็นเรื้อรังเริ่มลดลงหรือหายไป
- อาการบวมตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายลดลง
- อาการเหนื่อยล้า อ่อนเพลียเรื้อรังลดลง
- ลดความเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวกับระบบหัวใจและหลอดเลือด
- ลดความเสี่ยงของโอกาสเกิดอัลไซเมอร์
ใครบ้างที่เหมาะกับการทำ “คีเลชั่น”
- ผู้ที่ตรวจพบสารโลหะหนักในเลือด เนื้อเยื่อ หรือในปัสสาวะ
- ผู้ที่มีอาการผิดปกติดังที่กล่าวข้างต้น
- ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการได้รับสารพิษในปริมาณมาก เนื่องมาจากอาชีพ หรือสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบ
- ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคที่เกี่ยวกับระบบหัวใจ และหลอดเลือด เช่น เส้นเลือดหัวใจตีบ, เบาหวาน เป็นต้น
- มีภาวะเครียดสะสมเป็นเวลานาน ทั้งทางกายและทางจิตใจ (Physical and Mental Stress)
- มีพฤติกรรมสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์
ขั้นตอนในการทำ “คีเลชั่น”
- แพทย์จะทำการผสมตัวยาคีเลชั่น วิตามิน และสารต้านอนุมูลอิสระต่าง ๆ ที่จำเป็นในขวดน้ำเกลือขนาด 100 มล.
- นำยาคีเลชั่นและสารน้ำดังกล่าวให้ผู้รับบริการผ่านทางหลอดเลือดดำ เหมือนการให้วิตามินทั่วไป ประมาณ 20-30 นาที
- ระหว่างทำสามารถนอนพักผ่อนตามอัธยาศัย หรือสามารถดูหนัง เล่นโทรศัพท์ อ่านหนังสือ รับประทานอาหารได้ตามปกติ
- ทำซ้ำได้ทุก 1-2 สัปดาห์ โดยทำต่อเนื่องอย่างน้อยติดกัน 10-20 ครั้ง โดยจะตรวจหาปริมาณสารโลหะหนักซ้ำหลังทำการรักษาต่อเนื่องอย่างน้อย 10 ครั้ง
การทำ “คีเลชั่น” เป็นหนึ่งในขั้นตอนของการกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย ซึ่งถือว่าเป็นขั้นตอนที่จำเป็นและมีความสำคัญเป็นลำดับต้น ๆ ก็เพราะว่า เซลล์ร่างกายคนเรา จะสามารถรับอาหารหรือวิตามินได้อย่างเต็มที่มีประสิทธิภาพนั้น ก็ต่อเมื่อร่างกายได้ขจัดสารตกค้าง สารอนุมูลอิสระออกเต็มที่ จึงจะทำให้วิตามินและเกลือแร่ต่าง ๆ ส่งผลต่อการทำงานของเซลล์ได้อย่างเต็มที่ และมีประสิทธิภาพ
บทความสุขภาพโดย : พญ.ณัฐชนากานต์ ณัฐกิตติ์โภคิน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟู ประจำศูนย์ศูนย์ศัลยกรรมความงามโรงพยาบาล
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
เบอร์โทรศัพท์ : 0-2867-0606 ต่อ 1200 , 084-456-7777 , 063-770-0968 , 062-257-5499
Facebook : www.facebook.com/Bangmodaestheticcenter
LINE ID : @bangmod
Instagram : bangmodaesthetic
YouTube : http://www.youtube.com/user/bangmodhos
Facebook : www.facebook.com/Bangmodaestheticcenter
LINE ID : @bangmod
Instagram : bangmodaesthetic
YouTube : http://www.youtube.com/user/bangmodhos