Bangmod Guru EP.10 ตอน ประวัติศาสตร์การดึงหน้า (The History of Facelift)
ไขข้อข้องใจกับคำถามที่ว่า วิวัฒนาการของศัลยกรรมดึงหน้าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเป็นอย่างไร รูปแบบการผ่าตัดเปลี่ยนไปขนาดไหน ติดตามหาคำตอบได้ใน Bangmod Guru EP.10 ตอน ประวัติศาสตร์การดึงหน้า (The History of Facelift)
ถ้าพูดถึงประวัติศาสตร์ของการทำผ่าตัดดึงหน้า หรือ The history the facelift คงต้องย้อนไปประมาณ 100 กว่าปี จริงๆแล้วตามประวัติศาสตร์ไม่แน่ชัด ไม่ชัดเจนว่าแพทย์คนไหนเป็นคนแรกของการทำ facelift แต่ว่าประมาณ 100 กว่าปี คือประมาณเมื่อปี ค.ศ.1900
มีการผ่าตัดดึงหน้าหรือการfacelift ขึ้น ในสมัยก่อนเป็นยุคในอดีตการแพทย์ยังไม่ได้พัฒนามาก เพราะฉะนั้นแพทย์ ( ยุคที่ 1 ) ยังไม่ทราบถึง ANATOMY ไม่ทราบว่าเส้นประสาทอยู่ตรงไหนเดินทางอย่างไร ไม่ทราบเรื่องของกล้ามเนื้อ และความหย่อนคล้อยมาก
เพราะฉะนั้นการผ่าตัดในยุคแรกก็จะเป็นแค่การผ่าตัดแค่บริเวณผิวหนัง Skin-only Facelift ตัดเฉพาะผิวหนังที่บริเวณไรผมเล็กๆ และเย็บกลับคืนเข้าไป ในยุคแรก ข้อเสียคือ ผลลัพธ์ไม่ดี เนื่องจากผ่าตัดเฉพาะผิวหนัง ทำให้ผิวหนังตึงเฉยๆ แต่ความหย่อนคล้อยของใบหน้าอยู่ทุกๆชั้นของผิวหนังอยู่ชั้นลึก ผลลัพธ์ในการผ่าตัดในยุคแรกๆประมาณ 100 กว่าปีก่อนผลลัพธ์ไม่แน่นอน ไม่กี่ปีก็กลับมาหย่อนคล้อยเหมือนเดิม แก้ไขความหย่อนคล้อยได้น้อย
ในยุคถัดมา ( ยุคที่ 2 ) ประมาณ 40 ปี หลังจากยุคที่ 1 ผ่านไป 40 ปีถัดมา การแพทย์เริ่มพัฒนามากขึ้น การศัลยกรรมเฟื่องฟูของการผ่าตัดศัลยกรรม ปี ค.ศ.1940 – 1970 ปี
ช่วงนี้เป็นช่วงที่แพทย์ทุกคนมีการเรียนรู้เรื่องของ ANATOMY มากขึ้น และทราบถึงเส้นประสาทอยู่ส่วนไหน กล้ามเนื้ออยู่ส่วนไหน ที่สำคัญการผ่าตัดดึงหน้า
แพทย์ก็ทราบว่าความหย่อนคล้อยจริงๆอยู่ทุกๆชั้นของใบหน้า ซึ่งใบหน้ามีถึง 5 ชั้น ของ ANATOMY
ในยุคนี้การผ่าตัดดึงหน้า ศัลยแพทย์จะผ่าตัดเยอะมาก ทำแบบ Full Facelift ทำทั้งหน้า เปิดผิวหน้าออกมาแทบจะถึงตรงกลางหน้า จากด้านข้างถึงกลางหน้า
ทำเยอะที่สำคัญทำในชั้นลึก และมีภาษาแพทย์ที่เรียกว่า Deep Plan Facelift คือดึงในชั้นลึก หรือบางคนเรียกเป็นศัพท์ Subperiosteal Facelift คือดึงถึงชั้นเยื้อหุ้มกระดูก
ส่วนมากการผ่าตัดในยุคสมัยนี้จะดึงในชั้นใต้กล้ามเนื้อ ดึงในชั้นที่ติดกับเยื้อหุ้มกระดูกเลย เนื่องจากว่าเขาศึกษามาว่าต้องแก้ไขความหย่อนคล้อยที่เยอะทุกชั้น ก็เลยเกิดการผ่าตัดแบบนี้ขึ้นมา ผลลัพธ์ที่ได้ปรากฏว่า ยิ่งเราผ่าตัดเยอะ ผลลัพธ์คือบวมช้ำเยอะ ระยะเวลาพักฟื้นนานบางคนเขียวช้ำเป็นเดือนๆถึงจะกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ ที่สำคัญอีกอย่างคือ เกิดผล MASK FACE ในการดึงที่ตึงเกินไป พอดึงตึงเกินไปทำให้ขยับกล้ามเนื้อไม่ได้ เวลาทำออกมาแล้วจะดูไม่เป็นธรรมชาติ ผลเสียของยุคกลาง ถึงแม้ว่าการผ่าตัดจะเฟื้องฟู ถึงแม้ว่าจะดึงจากชั้นลึกได้ ปรากฏว่าพอดึงมากเกินไปตึงเกินไป ไม่ธรรมชาติไม่สวย พอดึงเยอะเกิดไป ผลลัพธ์คือการพักฟื้นนานขึ้น
หลังจากที่ผ่านมา 2 ยุค ยุคแรกคือ ยุคเริ่มต้นเป็นการผ่าตัดดึงหน้าน้อยเรียกว่า Skin-only Facelift ผลลัพธ์ ได้น้อย ยุคถัดมามีความเข้าใจเยอะขึ้นและผ่าตัดเยอะขึ้น เกิดการทำ Full Facelift ผลลัพธ์ที่ได้คือตึงเกินไป และการพักฟื้นนานเกินไป
ยุคที่ 3 สมัยนี้ประมาณ 10-20 ปีก่อนหน้านี้ ค.ศ.1980-2000
ก่อนหน้าที่จะเป็นยุคปัจจุบัน มีการพัฒนาการดึงหน้าไปมาก สิ่งที่ศัลยแพทย์หรือทางวงการแพทย์ค้นพบก็คือ ไม่จำเป็นต้องดึงทั้งหน้า ไม่จำเป็นต้องดึงชั้นลึก เหมือนยุคสมัย Full Facelift ค้นพบได้ว่ามีอีกชั้นที่เรียกว่าชั้น SMAS
ซึ่งเป็นชั้นของกล้ามเนื้อที่อยู่ใต้ต่อจากชั้นไขมัน ชั้น SMAS เวลาดึงหน้าที่ชั้น SMAS ทำแค่ชั้นนี้จะทำให้ใบหน้าเกือบทุกส่วนตึงขึ้นพร้อมกันได้ เพราะฉะนั้นในสมัยปัจจุบันการผ่าตัดดึงหน้าจะเน้นการทำที่ชั้น SMAS จะมีการทำ SMAS PLICATION,SMAS ECTOMY
คือการดึงเย็บ SMAS ให้ตึงขึ้นบางคนก็ตัดชั้น SMAS ออกแล้วก็เย็บไหมให้มันตึงขึ้น การผ่าตัดในชั้น SMAS ในยุคปัจจุบัน ข้อดีคือผลลัพธ์ที่ได้เป็นธรรมชาติ มีความพอดีมากขึ้นไม่ได้น้อยเหมือนยุคแรก และไม่ได้มากเกินไปเหมือนยุคที่ 2 การผ่าตัดดึงหน้าโดยชั้น SMAS ได้ผลลัพธ์ยาวนานมากขึ้น และมีความพอดีมากขึ้น มีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น
ดังนั้น ใน10-20 ปีจนถึงยุคปัจจุบันส่วนมากศัลยแพทย์ก็จะทำการผ่าตัดดึงหน้า จะทำแบบ SMAS-manipulated facelift,SMAS PLICATION,SMAS ECTOMY ซึ่งได้ผลลัพธ์ค่อนข้างดี
“มั่นใจยิ่งกว่า ที่โรงพยาบาลบางมด”
ปรึกษาปัญหาความงามเพิ่มเติมได้ที่
เบอร์โทรศัพท์ : 0-2867-0606 ต่อ 1200 , 084-456-7777 , 063-770-0968 , 062-257-5499
http://bangmodaesthetic.com/home
Facebook : www.facebook.com/Bangmodaestheticcenter
LINE ID : @bangmod
Instagram : bangmodaesthetic
YouTube : http://www.youtube.com/user/bangmodhos
ไขข้อข้องใจกับคำถามที่ว่า วิวัฒนาการของศัลยกรรมดึงหน้าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเป็นอย่างไร รูปแบบการผ่าตัดเปลี่ยนไปขนาดไหน ติดตามหาคำตอบได้ใน Bangmod Guru EP.10 ตอน ประวัติศาสตร์การดึงหน้า (The History of Facelift)
ถ้าพูดถึงประวัติศาสตร์ของการทำผ่าตัดดึงหน้า หรือ The history the facelift คงต้องย้อนไปประมาณ 100 กว่าปี จริงๆแล้วตามประวัติศาสตร์ไม่แน่ชัด ไม่ชัดเจนว่าแพทย์คนไหนเป็นคนแรกของการทำ facelift แต่ว่าประมาณ 100 กว่าปี คือประมาณเมื่อปี ค.ศ.1900
มีการผ่าตัดดึงหน้าหรือการfacelift ขึ้น ในสมัยก่อนเป็นยุคในอดีตการแพทย์ยังไม่ได้พัฒนามาก เพราะฉะนั้นแพทย์ ( ยุคที่ 1 ) ยังไม่ทราบถึง ANATOMY ไม่ทราบว่าเส้นประสาทอยู่ตรงไหนเดินทางอย่างไร ไม่ทราบเรื่องของกล้ามเนื้อ และความหย่อนคล้อยมาก
เพราะฉะนั้นการผ่าตัดในยุคแรกก็จะเป็นแค่การผ่าตัดแค่บริเวณผิวหนัง Skin-only Facelift ตัดเฉพาะผิวหนังที่บริเวณไรผมเล็กๆ และเย็บกลับคืนเข้าไป ในยุคแรก ข้อเสียคือ ผลลัพธ์ไม่ดี เนื่องจากผ่าตัดเฉพาะผิวหนัง ทำให้ผิวหนังตึงเฉยๆ แต่ความหย่อนคล้อยของใบหน้าอยู่ทุกๆชั้นของผิวหนังอยู่ชั้นลึก ผลลัพธ์ในการผ่าตัดในยุคแรกๆประมาณ 100 กว่าปีก่อนผลลัพธ์ไม่แน่นอน ไม่กี่ปีก็กลับมาหย่อนคล้อยเหมือนเดิม แก้ไขความหย่อนคล้อยได้น้อย
ในยุคถัดมา ( ยุคที่ 2 ) ประมาณ 40 ปี หลังจากยุคที่ 1 ผ่านไป 40 ปีถัดมา การแพทย์เริ่มพัฒนามากขึ้น การศัลยกรรมเฟื่องฟูของการผ่าตัดศัลยกรรม ปี ค.ศ.1940 – 1970 ปี
ช่วงนี้เป็นช่วงที่แพทย์ทุกคนมีการเรียนรู้เรื่องของ ANATOMY มากขึ้น และทราบถึงเส้นประสาทอยู่ส่วนไหน กล้ามเนื้ออยู่ส่วนไหน ที่สำคัญการผ่าตัดดึงหน้า
แพทย์ก็ทราบว่าความหย่อนคล้อยจริงๆอยู่ทุกๆชั้นของใบหน้า ซึ่งใบหน้ามีถึง 5 ชั้น ของ ANATOMY
ในยุคนี้การผ่าตัดดึงหน้า ศัลยแพทย์จะผ่าตัดเยอะมาก ทำแบบ Full Facelift ทำทั้งหน้า เปิดผิวหน้าออกมาแทบจะถึงตรงกลางหน้า จากด้านข้างถึงกลางหน้า
ทำเยอะที่สำคัญทำในชั้นลึก และมีภาษาแพทย์ที่เรียกว่า Deep Plan Facelift คือดึงในชั้นลึก หรือบางคนเรียกเป็นศัพท์ Subperiosteal Facelift คือดึงถึงชั้นเยื้อหุ้มกระดูก
ส่วนมากการผ่าตัดในยุคสมัยนี้จะดึงในชั้นใต้กล้ามเนื้อ ดึงในชั้นที่ติดกับเยื้อหุ้มกระดูกเลย เนื่องจากว่าเขาศึกษามาว่าต้องแก้ไขความหย่อนคล้อยที่เยอะทุกชั้น ก็เลยเกิดการผ่าตัดแบบนี้ขึ้นมา ผลลัพธ์ที่ได้ปรากฏว่า ยิ่งเราผ่าตัดเยอะ ผลลัพธ์คือบวมช้ำเยอะ ระยะเวลาพักฟื้นนานบางคนเขียวช้ำเป็นเดือนๆถึงจะกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ ที่สำคัญอีกอย่างคือ เกิดผล MASK FACE ในการดึงที่ตึงเกินไป พอดึงตึงเกินไปทำให้ขยับกล้ามเนื้อไม่ได้ เวลาทำออกมาแล้วจะดูไม่เป็นธรรมชาติ ผลเสียของยุคกลาง ถึงแม้ว่าการผ่าตัดจะเฟื้องฟู ถึงแม้ว่าจะดึงจากชั้นลึกได้ ปรากฏว่าพอดึงมากเกินไปตึงเกินไป ไม่ธรรมชาติไม่สวย พอดึงเยอะเกิดไป ผลลัพธ์คือการพักฟื้นนานขึ้น
หลังจากที่ผ่านมา 2 ยุค ยุคแรกคือ ยุคเริ่มต้นเป็นการผ่าตัดดึงหน้าน้อยเรียกว่า Skin-only Facelift ผลลัพธ์ ได้น้อย ยุคถัดมามีความเข้าใจเยอะขึ้นและผ่าตัดเยอะขึ้น เกิดการทำ Full Facelift ผลลัพธ์ที่ได้คือตึงเกินไป และการพักฟื้นนานเกินไป
ยุคที่ 3 สมัยนี้ประมาณ 10-20 ปีก่อนหน้านี้ ค.ศ.1980-2000
ก่อนหน้าที่จะเป็นยุคปัจจุบัน มีการพัฒนาการดึงหน้าไปมาก สิ่งที่ศัลยแพทย์หรือทางวงการแพทย์ค้นพบก็คือ ไม่จำเป็นต้องดึงทั้งหน้า ไม่จำเป็นต้องดึงชั้นลึก เหมือนยุคสมัย Full Facelift ค้นพบได้ว่ามีอีกชั้นที่เรียกว่าชั้น SMAS
ซึ่งเป็นชั้นของกล้ามเนื้อที่อยู่ใต้ต่อจากชั้นไขมัน ชั้น SMAS เวลาดึงหน้าที่ชั้น SMAS ทำแค่ชั้นนี้จะทำให้ใบหน้าเกือบทุกส่วนตึงขึ้นพร้อมกันได้ เพราะฉะนั้นในสมัยปัจจุบันการผ่าตัดดึงหน้าจะเน้นการทำที่ชั้น SMAS จะมีการทำ SMAS PLICATION,SMAS ECTOMY
คือการดึงเย็บ SMAS ให้ตึงขึ้นบางคนก็ตัดชั้น SMAS ออกแล้วก็เย็บไหมให้มันตึงขึ้น การผ่าตัดในชั้น SMAS ในยุคปัจจุบัน ข้อดีคือผลลัพธ์ที่ได้เป็นธรรมชาติ มีความพอดีมากขึ้นไม่ได้น้อยเหมือนยุคแรก และไม่ได้มากเกินไปเหมือนยุคที่ 2 การผ่าตัดดึงหน้าโดยชั้น SMAS ได้ผลลัพธ์ยาวนานมากขึ้น และมีความพอดีมากขึ้น มีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น
ดังนั้น ใน10-20 ปีจนถึงยุคปัจจุบันส่วนมากศัลยแพทย์ก็จะทำการผ่าตัดดึงหน้า จะทำแบบ SMAS-manipulated facelift,SMAS PLICATION,SMAS ECTOMY ซึ่งได้ผลลัพธ์ค่อนข้างดี
“มั่นใจยิ่งกว่า ที่โรงพยาบาลบางมด”
ปรึกษาปัญหาความงามเพิ่มเติมได้ที่
เบอร์โทรศัพท์ : 0-2867-0606 ต่อ 1200 , 084-456-7777 , 063-770-0968 , 062-257-5499
http://bangmodaesthetic.com/home
Facebook : www.facebook.com/Bangmodaestheticcenter
LINE ID : @bangmod
Instagram : bangmodaesthetic
YouTube : http://www.youtube.com/user/bangmodhos
